AI613 คาบ 4: Outsourcing
ข้อดี
- เราไม่ต้องเสียเวลากับงานที่ไม่ใช่จุดแข็ง หรือหลักธุรกิจของเรา เพื่อทุ่มเทเฉพาะธุรกิจหลัก
- ลดต้นทุน อาจจะได้ Economies of Scales (EOS)
- ลดความเสี่ยงในการพัฒนาที่ไม่ดี เนื่องจากมีสัญญากับคู่ค้าก็จะได้ของดีกว่า
- ลดต้นทุนในการ Training พนักงาน เนื่องจาก พนักงาน IT มีอัตราในการเปลี่ยนงานสูง
- เพิ่มคุณภาพ เพราะคน Outsource มีความเชี่ยวชาญมากกว่า
- เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าตลาด
- สร้าง Innovation ในองค์กรได้รวดเร็วกว่า เพราะ OS มีความเชี่ยวชาญมากกว่าธุรกิจเรา
งานที่ Outsource ได้
- งานบำรุงรักษางานระบบต่างๆ
- ระบบเครือข่าย
- งานบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์
ควร Outsource หลายเจ้าเพื่อ
- กระจายความเสี่ยง
- แต่ละที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน
การตกลงการทำ OS
- Transactional outsourcing agreements- Outsource งานเป็นส่วนๆ
- Co-sourcing alliances พัฒนาบริษัท OS พร้อมกัน แต่ข้อมูลอาจรั่วไหลได้ หากคู่สัญญาไม่มีความซื่อสัตย์
- Strategic partnership – OS เจ้าเดียว เพราะเชื่อใจในตัวคู่ค้าธุรกิจ เช่น กสิกร OS เรื่องการดูแลระบบ IT ให้ IBM
กลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง OS
- เข้าใจโปรเจคของเราให้ดีก่อน เพื่อเวลาพูดคุยกับคู่ค้าจะได้เข้าใจตรงกัน
- แบ่งแยกทีละส่วนให้ OS ค่อยๆทำ
- ให้ Incentives โดยดูผลงาน
- เขียนสัญญาระยะสั้น เพื่อไม่เป็นการผูกขาดสัญญา
- ควบคุมบริษัท Sub-contract
- เลือก OS เฉพาะบางอย่าง ที่ไม่ใช่ส่วนหลักของธุรกิจ
ประเภทของ OS
onshore OS การ OS ธุรกิจที่อยู่ภายในประเทศ
offshore OS การ OS ธุรกิจที่อยู่คนละประเทศ
ปัจจัยในการเลือก offshore OS
- ตรวจสอบประเทศในการ OS ทางสถานะทางการเงิน รวมทั้งความเชี่ยวชาญ
- โครงสร้างพื้นฐานในการทำงานต่างๆ
- ความเสี่ยงในประเทศนั้นๆ
- กฎหมายในการเอื้อธุรกิจของเรา
ความเสี่ยงในการเลือกทำ offshore OS
- การลดต้นทุน
- การควบคุมความปลอดภัยของข้อมูลรวมทั้ง องค์ความรู้ภายในบริษัท
- การควบคุมขั้นตอนการทำงาน
- ความล้มเหลวในการส่งงานของ offshore OS
- Scope creep การเพิ่มขึ้นของงานในระหว่างที่ทำสัญญาไปแล้ว
- ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
- คนติดต่องานหลักกับเราลาออกจากงาน
งานไหนบ้างที่ไม่ควร OS
- งานที่ยังไม่มี process ชัดเจน
- งานที่เมื่อ OS แล้ว จะเสียระบบงานภายในบริษัท
- ความเสี่ยงสูงในการสูญเสียองค์ความรู้ภายในบริษัท
- งานที่ต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจหลายด้านรวมกัน เพราะจะทำให้การจัดการเป็นไปได้ยาก
การได้มาซึ่งระบบ IT
ขั้นตอนแรก – ทำเองภายใน โดยวางแผนและระบุความต้องการในขั้นตอนและกระบวนการในการทำงาน หรือการออกแบบใหม่ในขั้นตอนการทำงานต่างๆ
ขั้น 2 – วางโครงสร้างทางด้าน IT สำหรับโครงสร้างพื้นฐานรวมทั้งระบบสารสนเทศต่างๆ ที่เราต้องการ
ขั้น 3 – ขั้นตอนในการเลือกใช้ระบบ IT
ขั้น 4 – ทดสอบและทำการติดตั้งระบบเก่ากับระบบใหม่
ขั้น 5 – ตรวจสอบระบบการทำงาน รวมทั้งดูแลรักษา และปรับปรุงกระบวนการให้ตรงกับความต้องการอยู่เสมอ
การพัฒนาระบบ IT เกิดขึ้นจาก
- ผู้ใช้ในแต่ละแผนก
- คู่สัญญาเป็นผู้แนะนำระบบ
- กฎหมายหรือข้อบังคับระบบใหม่ที่กำหนดขึ้นมา
- ผู้ตรวจสอบระบบเป็นผู้แนะนำ
- คำแนะนำจากผู้บริหารระดับสูง
- คำแนะนำจากฝ่ายแผนก IT
- โปรเจคที่ถ้าลงทุนแล้วจะได้ผลตอบแทนที่สูง
IT Project Justification - การเลือกโปรเจคที่น่าสนใจในการลงทุน
Plannning IT Applications
เข้าใจถึงแผนธุนกิจที่กำลังจะพัฒนา
วางแผนการทำงานในการวิจัย
วิเคราะห์ถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้
กำหนดชั่วระยะเวลาในการส่งงาน
BUY the application
ซื้อถูกกว่าลงทุนเอง
มองเห็นโอกาสที่จะใช้ในอนาคตอย่างแท้จริง
ข้อเสีย
ไม่สามารถปรับปรุง Application ตามที่เราต้องการได้
มีความยากในการเชื่อมต่อกับระบบเดิมของบริษัท
คู่สัญญาอาจยกเลิกบริษัท ทำให้เรามีความเสี่ยงในการปรับปรุงและพัฒนาระบบได้
การเลือก ซื้อ หรือ เช่า application
เช่าจะดีกว่าในเบื้องต้น เพื่อประหยัดต้นทุนในการจ่ายเงินลงทุน เพื่อทดลองใช้โปรแกรมดูก่อน ถ้าโปรแกรมไม่ดีก็จะสามารถเลิกสัญญาได้ ไม่ต้องลงทุนเงินจำนวนมากสำหรับการซื้อ เพราะจะกลายเป็นเงินจม
In-House Development (Insourcing)
สามารถวิจัยและพัฒนาปรับปรุงระบบได้ตรงกับความต้องการของบริษัทอย่างแท้จริง
การพัฒนาระบบ 3 รูปแบบ
i. เริ่มจากศูนย์ – พัฒนาได้ช้าและลงทุนสูง แต่ได้ระบบที่ตรงกับความต้องการ
ii. พัฒนาจากบางส่วน – ต้องใช้การพัฒนาระบบเก่าเพื่อเข้ากับระบบใหม่
iii. Integrate ระบบ ให้เข้ากัน
E-business
การติดต่อธุรกิจทั้งระบบธุรกิจ สามารถใช้ระบบ IT เข้ามาช่วยได้
E-Commerce
การซื้อขายสินค้าและบริการผ่านระบบ IT
โทดทีครับ ส่งช้าไปหน่อย
ตอบลบแมนรัตน์ กิตติวราภรณ์
5202115100